บทที่ 3 ทฤษฎีการกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ

ประเด็นสำคัญของทฤษฎีการกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ

จุดประสงค์ของบทที่ 3 ถึงบทที่ 7 คือต้องการอธิบายเรื่องสำคัญ 3 เรื่อง คือ
  1. กระบวนการเกี่ยวกับการกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ
  2. การเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ
  3. ขนาดการเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ ว่าการเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยใด

วิธีการกำหนดรายได้ประชาชาติดุลยภาพ

ในบทนี้จะใช้วิธีการต่างๆ เพื่อศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของตัวแปรต่างๆต่อระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ วิธีการศึกษาที่ใช้มีดังนี้
  1. Income - Expenditure Approach (รายได้ - ความต้องการใช้จ่าย)
  2. Withdrawal - Injection Approach (ส่วนกระตุ้น - ส่วนรั่วไหล)
  3. Aggregate Demand - Aggregate Supply Approach
  4. General Equilibrium Approach or IS-LM Approach
ซึ่งแต่ละวิธีจะมีรายละเอียดของการวิเคราะห์เพื่อให้ได้คำตอบว่า รายได้ดุลยภาพนั้นกำหนดขึ้นมาได้อย่างไร เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร และเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นกับเหตุปัจจัยใด

การกำหนดรายได้ประชาชาติดุลยภาพด้วยวิธี Income - Expenditure Approach

เราจะเริ่มต้นด้วยการใช้วิธี Income - Expenditure Approach ซึ่งเราจะเริ่มวิเคราะห์จากคำว่า
Income - Expenditure
  • Income หมายถึง National Income หรือรายได้ประชาชาติ
  • Expenditure หมายถึง Desired Aggregate Expenditure หรือความต้องการใช้จ่ายมวลรวม
  • ระดับที่มีดุลยภาพ คือ รายได้ประชาชาติ(Y) เท่ากับ ความต้องการใช้จ่ายมวลรวม(AE)
เขียนเป็นสมการรายได้ประชาชาติดุลยภาพได้ดังนี้
Y = AE
Y= Total Output (ระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ)
AE = Desired Aggregate Expenditure (ความต้องการใช้จ่ายมวลรวม)
ซึ่ง AE มีสมการดังนี้
AE = C + I + G + X - IM  (ก)
C = Desired Private Consumption Expenditure (ความต้องการด้านค่าใช้จ่ายในครัวเรือน)
I = Desired Gross Private Investment Expenditure (ความต้องการการด้านการลงทุนภาคเอกชนเบื้องต้น (ไม่รวมค่าเสื่อม))
G = Desired General Government Expenditure on Consumption and Investment (ความต้องการด้านรายจ่ายรัฐบาล)
X = Desired Exports of Goods and Services (ความต้องการด้านมูลค่าการส่งออก)
IM = Desired  Import of Goods and Services (ความต้องการด้านมูลค่าการนำเข้า)
แม้ว่าสมการนี้จะคล้ายกับวิธีการคำนวณรายได้ประชาชาติจากรายจ่าย ในบทที่ 2 แต่ ก็ มีความหมายต่างกัน
การคำนวณรายได้ประชาชาติจากรายจ่าย
GDP = Ca + Ia + Ga + Xa - Ma (ข)

ตัว a ที่ห้อยอยู่ในสมการ (ข) หมายถึง Actual Value คือเป็นค่าจริงที่เกิดขึ้นมาแล้ว
ส่วนในสมการ (ก) เป็น Planned Value หรือ Desired Value คือเป็นค่าที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เป็นค่าที่เราต้องการ เพื่อให้ได้ตัวเลขรายได้ประชาชาติ ที่อยู่ในภาวะดุลยภาพ
ในการศึกษาทำความเข้าใจผลกระทบของตัวแปรต่างๆ ต่อรายได้ประชาชาติดุลยภาพ จะต้องเริ่มจากระบบที่ไม่ซับซ้อน โดยการตัดตัวแปรบางส่วนออกไปก่อน เพื่อให้ทราบถึงปลกระทบของตัวแปรที่ยังเหลืออยู่
ในที่นี้ จะสมมติว่าเป็นเศรษฐกิจระบบปิด ไม่มีการถ่ายเทระหว่างประเทศ และไม่มีรัฐบาล สมการรายได้ประชาชาติดุลยภาพจะเหลือเพียง
AE = C + I 

การวิเคราะห์ผลกระทบของรายได้ประชาชาติดุลยภาพกับความต้องการใช้จ่ายเพื่อบริโภค

เมื่อเราได้ สมการ AE =C+I จาการสมมติว่าเป็นเศรษฐกิจแบบปิดและไม่มีรัฐบาล ต่อไปจะใช้วิธีการศึกษาวิธีที่ 2 คือ Injection - Withdrawal Approace ในการวิเคราะห์ ผลกระทบของรายได้ประชาชาติดุลยภาพกับความต้องการใช้จ่ายเพื่อบริโภค
โดยมอง AE =C + I เป็นด้าน Injection หรือส่วนกระตุ้นให้ระบบเศรษฐกิจเติบโต
และอีกด้านหนึ่งคือ withdrawal ก็จะเป็น C+S (ความต้องการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และเงินออม)
สำหรับตัว C เราได้กำหนด Consumption Function ขึ้นมาดังนี้
C = f(Yd,t,i,A,E,L,...)
C = Desired Consumption Expenditure (ความต้องการของการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค)
Yd = Disposable Income (รายได้ดุลยภาพ)
t = Tax Rate (อัตราภาษี)
i = Interest Rate (อัตราดอกเบี้ย)
A = Consumer's Wealth (ฐานะความมั่งคั่ง)
E = Expectation (ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจ)
L = Consumer's Debt (หนี้สินภาคครัวเรือน)
S = Desired Saving (ความต้องการเงินออม)
สมการนี้มีความหมายคือ ระดับการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยต่างๆเช่น รายได้ อัตราภาษี อัตราดอกเบี้ย ฐานะความมั่งคั่ง ฯลฯ
ขณะเดียวกัน ในส่วนของเงินออม ก็เขียนเป็น Saving Function ได้ดังนี้
S = f(Yd,t,i,A,E,L,...)
ในขั้นต่อมา เราต้องการศึกษาผลกระทบของ Yd ต่อ Desired Consumption Expenditure เราจึงสมมติให้ตัวแปรอื่นๆ ทางขวามือเป็นค่าคงที่ทั้งหมด ยกเว้น Yd ตัวเดียวที่เปลี่ยนแปลง ก็จะได้สมการต่อไปนี้
C = f(Yd)
และ
dC/dYd > 0
  • dC/dYd เป็นสัญลักษ์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง differentiate อ่านว่า ดี-ซี-บาย-ดี-วาย หมายถึง ความเปลี่ยนแปลงของความต้องการผู้บริโภคต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับรายได้ดุลยภาพ
  • dC/dYd > 0 หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงของความต้องการการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค จะมีทิศทางแปรผันตรงกับการเปลี่ยนแปลงของรายได้ดุลยภาพ ถ้า C เพิ่มขึ้น Yd ก็จะเพิ่มขึ้นด้วย
ถ้า C ลดลง Yd ก็จะลดลงด้วย
  • dC/dYd คือค่า MPC ซึ่งย่อมาจาก Marginal propensity to consume เป็นตัวที่บอกให้รู้ว่า ถ้า Disposable Income เพิ่มขึ้น 1 หน่วยแล้ว จะมีผลทำให้ความต้องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
  • MPC คือความชันของกราฟ เมื่อนำไปพล็อตเป็นกราฟ
  • ถ้า MPC มีค่าเป็น 0.8 หมายความว่า เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น 100 บาท ค่าใช้จ่ายในการบริโภคจะเพิ่มขึ้น 80 บาท

การวิเคราะห์ผลกระทบของรายได้ประชาชาติดุลยภาพกับความต้องการใช้จ่ายเพื่อการออม

ในทำนองเดียวกัน เราสามารถเขียนสมการของ S ได้ดังนี้
S = f(Yd)
และ
dS/dYd > 0
โดยค่านี้คือ MPS หรือ Marginal propensity to save หมายถึง ถ้า Disposable Income เพิ่มขึ้น 1 หน่วยแล้ว จะมีผลทำให้ความต้องการการออมเพิ่มขึ้นเท่าไหร่

คุณสมบัติของ MPC และ MPS

ในกรณที่เป็นระบบปิดและไม่มีรัฐบาล เราพบว่า
MPC + MPS = 1
พิสูจน์สมการดังนี้
Y=Yd
Yd = C + S
ΔYd/ΔYd = ΔC/ΔYd + ΔS/ΔYd 
1 = MPC + MPS

ลักษณะของเส้นบริโภคในกราฟ

ลักษณะของเส้นบริโภค (Consumption function) เส้นการบริโภคมีลักษณะเป็นเส้นทอดขึ้นจากซ้ายไปขวา มีค่า Slope เป็นบวก เนื่องจาก MPC >0
เส้น 45% เป็นเส้นสมมติของกรณีที่ความต้องการใช้จ่ายเท่ากับ Disposable Income หรือ C = Yd
ตัวอย่าง
G1.gif

ลักษณะของเส้นการออม

ลักษณะของเส้นการออม (Saving function) เส้นการออมจะเป็นไปตามสมการ Y=C+S ดังนั้น S=Y-C โดยที่ Y คือเส้น 45 องศา เพราะ Y=AE เนื่องจากเป็นระดับรายได้ดุลยภาพ
จาก S=Yd-C
และ C=C0 + MPC(Yd)
และ MPC = 1-MPS
แทนค้าจะได้ 
S=Yd - C0 - (1-MPS)Yd
S=C0 - MPS(Yd)
หมายเหตุ
  • อยู่ในฟอร์มของ สมการเส้นตรง Y=a+bx
  • มีความชันเท่ากับ MPS
  • ตัดแกน Y ที่จุด -C0

การวิเคราะห์ผลกระทบของรายได้ประชาชาติดุลยภาพกับความต้องการใช้จ่ายเพื่อการลงทุน

การลงทุนในวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค หมายถึงการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าทุน(Capital) และการเปลี่ยนแปลงสินค้าคงคลัง(Inventories) ในช่วงเวลาหนึ่ง หรือกล่าวโดยสรุป กระแสค่าใช้จ่ายในการลงทุนนั้นจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 อย่างดังนี้
  1. รายจ่ายที่หน่วยธุรกิจต้องการใช้จ่ายเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่
  2. รายจ่ายที่หน่วยธุรกิจต้องการใช้จ่ายเพื่อก่อสร้างโรงงานใหม่
  3. การเปลี่ยนแปลงในสินค้าคงคลัง
ความต้องการในการลงทุนนั้นเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
I = f(i,Y,¶,E,Cf,Te...)
I  = Desired Investment Expenditure 
i = Interest rate
Y = National Income
¶ = Expected profit
E = Expectation
Cf = Confidence
Te = Change in Technology
ความสัมพันธ์ในสมการดังกล่าว สามารถอธิบายได้ดังนี้
  1. อัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นต้นทุนของการลงทุน ดังนั้นหากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นย่อมหมายถึงต้นทุนในการลงทุนสูงขึ้น ททำให้การลงทุนลดลง
  2. รายได้ประชาชาติ การที่รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นหรือลดลงจะสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศ และมีผลต่อการขยายการลงทุน
  3. ระดับกำไรที่คาดว่าจะได้รับ หากมีโอกาสในการทำกำไรมาก ก็จะเป็นแรงดึงดูดให้เกิดการลงทุน
  4. การคาดคะแน ในโลแกแห่งความเป็นจริงกรคาดคะเนเกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคตเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการลงทุน
  5. ความเชื่อมั่น ความเชื่อมั่นต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการลงทุน
  6. การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโยลีทำให้หหน่วยธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มผลผลิต

ตัวอย่างการคำนวนรายได้ประชาชาติดุลยภาพ

The Aggregate Expenditure function in a Closed Economy with No Government

National Income
(Y)
Desired Consumption Expenditure
(C= 100+0.8Yd)
Desired Investment Expenditure
(I = 250)
Desired Aggregate Expenditure
(AE = C + I)
100180250430
400420250670
500500250750
1.0009002501,150
1,5001,3002501,550
1,7501,5002501,750
2,0001,7002501,950
3,0002,5002502,750
4,0003,3002502,550
ตารางข้างต้นเป็นข้อมูลสมมติในกรณีที่เป็นระบบปิดและไม่มีรัฐบาล และกำหนดค่าต่างๆมาให้ดังนี้
  • AE = C + I เนื่องจากเป็นระบบปิด ไม่มีรัฐบาล
  • C = 100 + 0.8Yd
  • I = 250 คงที่ (ให้ I เป็น Autonomous Expenditure คือไม่ถูกชักนำโดยรายได้ประชาชาติ)
ดังนั้น จะได้ว่า
AE = C + I
AE = 350 + 0.8Y
  • จุดดุลยภาพ จะต้องมี Y = AE คือ รายได้ประชาชาติ เท่ากับ ความต้องการใช้จ่าย สามารถเขียนเป็นเส้น 45° ในกราฟ
เมื่อนำสมการ AE = 350 + 0.8Y และ Y=AE มาพล็อตกราฟ จะได้กราฟลักษณะดังนี้
G3.gif
  • เส้นสีแดง คือ กราฟของสมการ รายได้ประชาชาติ เท่ากับ ความต้องการใช้จ่าย ซึ่งถือว่าเป็น ดุลยภาพ
  • เส้นสีฟ้า คือ กราฟของความต้องการใช้จ่ายมวลรวม (AE = C + I)
  • กราฟมีลักษณะทอดขึ้น หมายความว่า ความสัมพันธ์ของรายได้ประชาชาติและค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
  • จุดตัดของกราฟ คือจุดที่ Y=AE และ AE=350 + 0.8Y ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1,750

การคำนวณรายได้ประชาชาติดุลยภาพจากสมการคณิตศาสตร์

เป็นวิธีการคำนวณหารายได้ประชาชาติดุลยภาพ โดยวิธีแก้สมการคณิตศาสตร์
จากโจทย์ เรามี สมการดังนี้
C = 100 + 0.8Y
I = 250
AE = C + I
Y = AE
ดังนั้น
Y = 100 + 0.8Y + 250 
Y = 350 + 0.8Y
0.2Y = 350
Y = 1,750

การเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ

ตามที่กล่าวมาข้างต้น เราเข้าใจแล้วว่ารายได้ประชาชาติดุลยภาพถูกกำหนดขึ้นมาได้อย่างไร ในหัวข้อนี้เราจะมาหาคำตอบในข้อ 2 กันต่อไปว่า รายได้ประชาชาติดุลยภาพ เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร
ตามที่เราเข้าใจกันแล้วว่า รายได้ประชาชาติดุลยภาพ จะอยู่ที่จุดตัดของเส้น AE กับเส้น 45° ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ ก็คือการเปลี่ยนแปลงของเส้น AE นั่นเอง
จากสมการ
AE = C + I
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของ C หรือ I จะมีผลทำให้เสน AE เปลี่ยนแปลง และส่งผลกระทบต่อรายได้ประชาชาติดุลยภาพ
ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของเส้น AE มี 2 ลักษณะคือ
  1. เส้น AE เลื่อนขึ้น
  2. เส้น AE เลื่อนลง
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเส้น AE มี 2 ลักษณะคือ
  1. เปลี่ยนแปลงขนานกับเส้น AE เดิม
  2. เปลี่ยนแปลงไม่ขนานกับเส้น AE เดิม
G4.gif
จากกราฟ
  • เส้นสีแดง คือ เส้น 45°
  • เส้นสีฟ้า คือ เส้น AE เดิม จากตัวอย่างที่แล้ว
  • เส้นสีส้ม คือ เส้น AE ที่เปลี่ยนแปลงไป
  • จะพบว่า จุดตัดของเส้น AE กับ เส้น 45° เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหมายถึง รายได้ประชาชาติดุลยภาพเปลี่ยนไปนั่นเอง

ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดการเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ

ขนาดการเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ
  1. ขนาดการเปลี่ยนแปลงของเส้น AE ยิ่งมีการเลื่อนขึ้น-ลง มาก รายได้ประชาชาติดุลยภาพก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไปมาก
  2. ความชันของเส้น AE ยิ่งกราฟมีความชันมาก รายได้ระชาชาติดุลยภาพยิ่งเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเที่ยบกับการเปลี่ยนแปลงของเส้น AE ในระดับที่เท่ากัน

กรณีที่รายได้ประชาชาติไม่อยู่ในดุลยภาพ

  • รายได้ประชาชาติ ณ ระดับที่ AE > Total Output จะผลักดันให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น เพราะหน่วยผลิตจะเร่งการผลิตก่อนที่สินค้าคงคลังจะหมดไป
  • รายได้ประชาชาติ ณ ระดับที่ AE < Total Output จะผลักดันให้รายได้ประชาชาติลดลง เพราะมีสินค้าที่ผลิตออกมาเกินกว่าระดับรายได้ประชาชาติ ทำให้สินค้าขายไม่ได้

การกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ ด้วยวิธี Injection-Withdrawal Approach

การกำหนดขึ้นของรายได้ประชาชาติดุลยภาพ ด้วยวิธี Injection-Withdrawal Approach จะถูกกำหนด ณ ระดับที่ ความต้องการใช้จ่ายเพื่อการลงดทุน (I) = ความต้อการที่จะออม(S) โดยสมมติว่า เป็นเศรษฐกิจระบบปิดและไม่มีรัฐบาล ซึ่งจะได้ว่า
จาก AE = Total Output (Y)
C + I = C + S
:. I = S
ส่วนกระตุ้น = ส่วนรั่วไหล
  • ส่วนกระตุ้น คือส่วนที่เข้ามาในกระแสหมุนเวียนระหว่างครัวเรือนกับหน่วยผลิต ซึ่งในสภาวะที่เป็นเศรษฐกิจระบบปิดไม่มีรัฐบาล จะมีส่วนกระตุ้นเพียงตัวเดียวคือ ค่าใช้จ่ายในการลงทุน (I) ซึ่งเ)็นค่าใช้จ่ายของหน่วยผลตที่ใช้ซื้อสินค้าทุน เช่น ซื้อเครื่องจักร ก่อสร้างโรงงาน
  • ส่วนรั่วไหล คือส่วนที่ออกจากกระแสหมุนเวียนของค่าใช้จ่ายระหว่างคัวเรือนกับหน่วยผลิต ส่วนรั่วไหลในกรณีนี้จะเป็นการออม (S) เพียงตัวเดียว การออกมเป็นส่วนที่ครัวเรือนไม่ได้นำกลับมาใช้ซื้อสินค้าและบริการจากหน่วยผลิต

รายได้ประชาชาติดุลยภาพของวิธี Injection-Withdrawal Approach (Equilibrium Income)

รายได้ประชาชาติดุลยภาพของวิธี Injection-Withdrawal Approach คือระดับที่ I=S ดังตารางด้านล่าง

The Saving - Inesment Balance

National Income
(Y)
Desired Aggregate Expenditure
(AE = C + I)
Desired Saving
(S=Yd-C)
Desired Invesment
(I)
100430-80250
400670-20250
5007500250
1.0001,150100250
1,5001,550200250
1,7501,750250250
2,0001,950300250
3,0002,750500250
4,0002,550700250

กราฟของการกำหนดรายได้ประชาชาติดุลยภาพด้วยวิธี Injection-Withdrawal Approach

Image004.gif
  • ภาพซ้าย เป็นกราฟการหารายได้ประชาชาติดุลยภาพ ตามแนวคิด Income-Expenditure Approach
  • ภาพขวา เป็นกราฟการหารายได้ประชาชาติดุลยภาพ ตามแนวคิด Injection-Withdrawal Approach
  • I เป็นค่าคงที่ เส้น I จึงขนานกับแกนนอน
  • S ผันแปรตามระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ และตัดเส้น I ที่ระดับรายได้ดุลยภาพ Y1 ซึ่งเท่ากับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ ที่ได้จาก Income-Expenditure Approach

การคำนวณ รายได้ประชาชาติดุลยภาพด้วยวิธี Injection-Withdrawal Approach

สมมติกำหนดให้ C=100+0.8Y S=-100+0.2Y I=250 เนื่องจาก AE =C+I ดังนั้น AE = 100+0.8Y+250 AE = 350+0.8Y
การหาคำตอบด้วยวิธีที่ 1 (Income-Expenditure approach)
รายได้ประชาชาติดุลยภาพ = ค่าใช้จ่ายมวลรวม
Y = AE
Y = 350+0.8Y
0.2Y = 350
:. Y = 1,750 พันล้าน US เป็นระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ
การหาคำตอบด้วยวิธีที่ 2 (Injection-Withdrawal approach)
การลงทุน = การออม
I = S
250 = -100+0.2Y
0.2Y = 350
Y = 1,750 พันล้าน US  เป็นระดับรายได้ประชาชาติดุลยภาพ

การเปลี่ยนแปลงของรายได้ประชาชาติ จากวิธี Injection-Withdrawal Approach

011512krugman3-blog480.jpg
ระดับรายได้ดุลยภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีใดกรณีหนึ่งต่อไปนี้
  • S เลื่อนขึ้นหรือลง โดยขนานกับเส้นเดิม
  • I เลื่อนขึ้นหรือลงโดยขนานกับเส้นเดิม
  • ความชันของ S เปลี่ยนแปลง
  • เมื่อ S เพิ่มขึ้น ระดับรายได้ประชาชาติจะลดลง
  • เมื่อ I เพิ่มขึ้น ระดับรายได้ประชาชาติจะเพิ่มขึ้น

อาจารย์ผู้บรรยาย

  • รองศาสตราจารย์คิม ไชยแสนสุข
  • รองศาสตราจารย์สุกัญญา ตันธนวัฒน์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทที่ 7 การวิเคราะห์ดุลยภาพในระบบเศรษฐกิจ โดยใช้แบบจำลอง IS-LM หรือวิธีดุลยภาพทั่วไป

บทที่ 6 บทบาทด้านอุปทานรวม